วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

รายชื่อ สมาชิก


รายชื่อสมาชิก

1. นางสาว     กรชวัล      เสือสง่า
2. นางสาว     ปัทมา       สุพร
3. นาย         ภูริภพ       สัจจเสนีย์
4. นาย         ศิวานัฐ      ซุ้นเจริญ
5. นางสาว     ศิริรัตน์     ศรีปัญญา
6. นางสาว     ศศิวิมล     กิจสมโภชน์

คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ  สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศธุรกิจ
มหาวิทยาลัย อีสเทิร์นเอเชีย

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

อ้างอิง


อ้างอิง


ประวัติ และบทความ ERP   อ้างอิงจาก http://www.sirikitdam.egat.com/sara/erp.php 
            (สืบค้นอังคาร ที่ 28 เดือนสิงหาคม พ.ศ 2555)

      - ธุรกิจภายในประเทศ อ้างอิงจาก http://cpe.kmutt.ac.th/previousproject/2006/22/index.html  
         (สืบค้นอังคาร ที่ 28 เดือนสิงหาคม พ.ศ 2555)

ตัวอย่างธุรกิจต่างประเทศที่ใช้ ERP อ้างอิงจาก                     http://www.logisticafe.com/2009/11/%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%93%e0%b8%b5%e0%b8%a8%e0%b8%b6%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%b2-erp-enterprise-resource-planning/   (สืบค้นอังคาร ที่ 28 เดือนสิงหาคม พ.ศ 2555)

- ประโยชน์ของการนำเอา erp มาใช้ อ้างอิงจาก http://prakop-    
        prakop.blogspot.com/2009/11/supply-chain-management-suppliers.html 
       (สืบค้นอังคารที่ 28  เดือนสิงหาคม พ.ศ 2555)

- VDO  ความหมายของ ERP (ภาษาอังกฤษ) อ้างอิงจาก http://www.youtube.com/watch?
         v=PVRgIXLWDHs  (สืบค้นอังคาร ที่ 8 เดือนกันยายน พ.ศ 2555)

- VDO  ความหมายของ ERP (ภาษาไทย) อ้างอิงจาก http://www.youtube.com/watch?
         v=Z0Oi9J69sUQ(สืบค้นอังคาร ที่ 8 เดือนกันยายน พ.ศ 2555) 

- VDO  โครงสร้างของ ERP (ภาษาไทย) อ้างอิงจาก http://www.youtube.com/watch?
         v=5oxo1QTirZI&feature=relmfu(สืบค้นอังคาร ที่ 8 เดือนกันยายน พ.ศ 2555)  

ประโยชน์ต่อธุรกิจของ ERP



ประโยชน์ต่อธุรกิจ  ของ ERP
            ERP มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ดีขึ้น ผ่านรูปแบบที่ครอบคลุมทั้งทางเทคโนโลยี กลยุทธ์ และข้อกำหนดทางการดำเนินงานของระบบ ERP ในรูปแบบที่ไอที
ทำหน้าที่เป็นแบ็กโบนของโครงสร้างพื้นฐานและการซัพพอร์ต อำนวยความสะดวก และติดตามดูแลทรัพยากรที่แตกต่างกันทั่วทั้งองค์กรในระดับที่หลากหลาย จึงมีโอกาสมากมายสำหรับองค์กรที่ต้องการดึงคุณค่าและศักยภาพทางการแข่งขันจากระบบ ERP ที่มีอยู่ 
เหตุผลหลักสามอย่างที่บริษัทต่างๆ ต้องหันมาให้ความใส่ใจกับระบบ ERP คือ 
            1.เพื่อIntegrate ข้อมูลทางการเงิน จากเดิมที่แต่ละแผนกอาจจะมีตัวเลขของตัวเอง แต่เมื่อรวมเป็นระบบ ERP ข้อมูลจะมีอยู่เพียงชุดเดียว 
            2.เพื่อสร้างมาตรฐานในกระบวนการผลิต ด้วยระบบคอมพิวเตอร์แบบ Integrate เพียงตัวเดียว สาม เพื่อสร้างมาตรฐานข้อมูลทรัพยากรบุคคล โดยเฉพาะในบริษัทที่มีหน่วยธุรกิจหลายหน่วย ฝ่ายบุคคลจะมีวิธีการที่ง่ายและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการติดตาม และติดต่อสื่อสารกับพนักงาน
เหตุผลหลักสามอย่างที่บริษัทต่างๆ ต้องหันมาให้ความใส่ใจกับระบบ ERP คือ
           
1. เพื่ออินทิเกรตข้อมูลทางการเงิน จากเดิมที่แต่ละแผนกอาจจะมีตัวเลขของตัวเอง แต่เมื่อรวมเป็นระบบ ERP ข้อมูลจะมีอยู่เพียงชุดเดียว
            2. เพื่อสร้างมาตรฐานในกระบวนการผลิต ด้วยระบบคอมพิวเตอร์แบบอินทิเกรตเพียงตัวเดียว
            3. เพื่อสร้างมาตรฐานข้อมูลทรัพยากรบุคคล โดยเฉพาะในบริษัทที่มีหน่วยธุรกิจหลายหน่วย ฝ่ายบุคคลจะมีวิธีการที่ง่ายและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการติดตาม และติดต่อสื่อสารกับพนักงาน

ตัวอย่างธุรกิจที่ใช้ ERP ในต่างประเทศ


ตัวอย่างธุรกิจที่ใช้ ERP ในต่างประเทศ
          บริษัท UC เป็นบริษัทผลิตและประกอบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่มีโรงงานแห่งเดียวในสหรัฐอเมริกา มีพนักงานทั้งสิ้น 800 คน และมียอดขายต่อปีประมาณ สองพันล้านเหรียญตอนที่อาจารย์ McAfee ไปศึกษาสินค้าของบริษัทมีหลากหลาย ทั้งที่เป็น Logic Devices, Memory, Mass Storage, ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ประยุกต์, อุปกรณ์ Networking และ Input/Output รวมทั้งตู้เหล็กและตู้พลาสติก และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ซื้อจาก Supplier ต่างๆ UC มีสินค้าหลักอยู่ 4 ประเภท ใหญ่ๆ ซึ่งมีราคาตั้งแต่ถูกจนแพง ขึ้นอยู่ขีดความสามารถในการประมวลผลของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ แต่เป็น สินค้าผลิตตามสั่ง (Make-to-Order Products) เท่านั้น
          ในแต่ละเดือน UC จัดส่งประมารณ 8000-10000 คำสั่งลูกค้า (Customer Order) และคำสั่งส่วนใหญ่ (ประมาณ 80%) เป็นสินค้าที่บริษัทไม่ได้ผลิตเอง แต่จะเป็นคำสั่งสินค้าปรับปรุง (Upgrades) หรือเพิ่มเติม (Additions) หรือทดแทน (Replacement) ประเภทอุปกรณ์ Networking และ Input/Output, หน่วยความจำ, และสินค้าอื่นๆ ซึ่งบริษัทมีสินค้าสต๊อกเก็บ
ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 บริษัท UC เริ่มมีความไม่พอใจในระบบสารสนเทศที่บริษัทใช้ในการจัดการระบบการผลิตและกระจายสินค้า ระดับดังกล่าวประกอบด้วยระบบย่อยประมาณ 40-ระบบเชื่อมต่อกันและการเชื่อมข้อมูลเป็นระบบแบ็ช (Batch) โดยที่ไม่สามารถเชื่อมข้อมูลแบบทันทีทันใดได้ นอกจากนี้บริษัทยังมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและมีความซ้ำซ้อน ผู้บริหารไม่สามารถได้ข้อมูลแบบ Real Time เกี่ยวกับข้อมูล พื้นฐาน เช่น ระดับสินค้าคงคลัง เป็นต้น ความไม่มีประสิทธิภาพของระบบบั่นทอนความสามารถของบริษัทใมนการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าได้อย่างถูกต้องและทันเวลาโดยมีต้นทุนต่ำ

ในปี 1993 บริษัทตัดสินใจเปลี่ยนใช้ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) ใหม่ซึ่งไปทดแทนประมาณ 75 % ของระบบเก่า โดยที่ระบบใหม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลของการวางแผน การจัดการคำสั่งลูกค้า การจัดซื้อ และการผลิต ได้ดีขึ้น เป้าหมายเดิมของการขึ้นระบบได้มีการกำหนดว่า จะเป็นเดือนมีนาคม 1997 แต่ก็ต้องถูกเลื่อนไป 2-ครั้งจากปัญหาทางเทคนิค-จนกระทั่งขึ้นได้ในเดือนกันยายน 1997 และในการขึ้นระบบนี้ใช้วิธีแบบขึ้นทีเดียวเบ็ดเสร็จ โดยมีการปิดการปฏิบัติการ 10 วัน มีการโอนถ่ายข้อมูลเข้าระบบใหม่และมีการนับสต๊อกในช่วงเวลาเดียวกันซึ่งนับว่าเป็นวิธีการที่ยุ่งยากและซับซ้อนมากที่เดียว

บริษัทมีการวัดสมรรถนะของการปฏิบัติงานในหลายมิติ แต่ที่สามารถวัดได้เป็นตัวเลขมีอยู่ 2 มิติ คือ
1. สัดส่วนของคำสั่งลูกค้าที่ส่งได้ทันกำหนด
2.เวลานำส่ง (Lead Time) หรือเวลาส่งมอบคำสั่งสินค้า ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาระหว่างที่รับคำสั่งและวันที่ส่งสินค้า 


นอกจากบริษัท UC แล้วยังมี บริษัท 
Mini Gears ที่นำ ERP เข้าไปใช้ในธุรกิจแล้วประสบความสำเร็จ






บริษัท  Mini Gears ได้ตระหนักว่าในปัจจุบันระบบ ERPของพวกเขา ไม่เพียงพอ พวกเขาจำเป็นต้องบูรณาการให้เข้ากับกับการซื้อ,การขายและการเงิน และทำให้พวกเขาต้องมี EFACS เพิ่มขึ้นมา เพื่อตอบสนอง ต่อการใช้งานที่มากขึ้น วึ่งเป็น ERP อีกรูปแบบหนึ่ง





ตัวอย่างบริษัทที่ใช้ERPในประเทศไทย



ตัวอย่างบริษัทที่ใช้ERPในประเทศไทย



            ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) สำหรับบริษัท ไทยแลนด์ เทรดดิ้ง อินฟอร์เมชั่น เซอร์วิส จำกัด (TTIS ธุรกิจเกี่ยวกับธุรกิจสิ่งพิมพ์โดยมุ่งเน้นทางด้านสิ่งทอเป็นหลัก ระบบเก่า ของบริษัทฯ มีปัญหาค่อนข้างมาก เช่น ปัญหาเรื่องการเก็บข้อมูลที่ไม่มีประสิทธิภาพ ความซับซ้อนของ โปรแกรม ความซับซ้อนของข้อมูล ได้ทำการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ของระบบและทำการสร้างระบบขึ้นมาใหม่เพื่อให้ใช้งานง่ายยิ่งขึ้นและยังเป็นการช่วยลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล 
          บริษัท ไทยแลนด์ เทรดดิ้ง อินฟอเมชั่น เซอร์วิส จำกัด (TTIS) เป็นบริษัทที่รับทำสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ซึ่งในปัจจุบัน ทางบริษัทฯได้มีการขยายระบบและการพัฒนาองค์กรในต่างๆ อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นผลทำให้ระบบเดิมที่ทางบริษัทฯ ใช้ในการจัดการองค์กรนั้นมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอกับการขยายงาน จึงทำให้เกิดปัญหาหลายๆ ด้านตามมา ได้แก่ 
          1. เกิดการซ้ำซ้อนของการจัดเก็บข้อมูลในระบบ ซึ่งปัญหานี้เป็นผลพวงมาจากการออกแบบระบบเดิมนั้นไม่ได้รองรับการขยายตัวขององค์กรภายภาคหน้า จึงทำให้ต้องมีการสร้างระบบใหม่เพื่อมาต่อเติมระบบเก่าอยู่ตลอดเวลา
          2. ปัญหาของระบบเดิม เนื่องจากระบบเดิมมีการสร้างส่วนต่อเติมเพื่อรองรับการขยายงานที่เพิ่มขึ้นขององค์กรจึงทำให้ระบบมีความยุ่งยากในการใช้งาน

          จากปัญหาดังกล่าวบริษัท ทีทีไอเอส จำกัด จึงมีความประสงค์ที่จะสร้างระบบใหม่เพื่อลดความซ้ำซ้อนของการจัดเก็บข้อมูลของระบบ อีกทั้งเพื่อรองรับการขยายงานที่มีอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ เพื่อให้ปัญหาดังกล่าวหมดไปจึงได้มีการสร้างระบบ ERP FOR TTIS ขึ้น 
           ระบบ ERP สำหรับบริษัท ทีทีไอเอส จำกัด จะคำนึงถึง 4 ส่วนใหญ่ๆ ของระบบเท่านั้น คือ ระบบงานขาย ระบบลูกค้า คลังสินค้า และส่วนบริหารระบบ ซึ่งการทำงานทั้ง 4 ส่วนนั้นมีความเชื่อมโยงกันเป็นอย่างเป็นระบบ โดยส่วนบริหารระบบจะเป็นส่วนการกำหนดข้อมูลเบื้องต้นของระบบ เช่น ข้อมูลการวางแผนประจำปีของบริษัท การกำหนดยอดการขาย การเพิ่มข้อมูลส่วนพนักงานใหม่ เป็นต้น ในส่วนระบบลูกค้าจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันระหว่างฝ่ายขายของบริษัทกับลูกค้าโดยตรง ระบบจะทำหน้าที่เก็บข้อมูลรวมถึงการติดต่อและติดตามงานลูกค้าทุกประเภท ซึ่งทำให้สามารถทำการติดตามย้อนหลังของลูกค้าแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้พนักงานยังสามารถดึงข้อมูลลูกค้าทุกคนผ่านระบบงานขายเพื่อทำการออกใบเสนอราคา หรือทำการบันทึกติดต่อซื้อขายกับลูกค้าผ่านระบบนี้ได้อีกด้วย อีกทั้งระบบคลังสินค้าสำหรับโครงงานนี้ สามารถทำการบันทึกสินค้าเข้า-ออกคลังและตรวจสอบสินค้าตามจำนวนสินค้าที่ขายโดยนับจำนวนจากสินค้าที่ออกตามใบข้อตกลง ซึ่งนับว่าเป็นการรวมทุกส่วนเข้าด้วยกันผ่านระบบ ERP
สรุปผล
       สำหรับบริษัท ทีทีไอเอส นี้ ได้จัดทำระบบ ERP ขึ้นใหม่ ข้อมูลพื้นฐาน ข้อมูลลูกค้า งานขาย และคลังสินค้า โดยพัฒนาจากระบบเดิมที่ทางบริษัทใช้งานอยู่ แต่เนื่องจากระบบเดิมที่บริษัทใช้อยู่ มีการใช้งานที่ยากซับซ้อน มีการเก็บข้อมูลทับซ้อน และทำงานได้ช้า จึงได้นำ ERP ระบบใหม่เข้ามาใช้งาน ตามความต้องการของบริษัท
หลังการนำระบบ ERP มาใช้ พบว่าสามารถใช้งานเป็นไปตามความต้องการของลูกค้า สามารถลดความซ้ำซ้อนของการเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลได้ พนักงานสามารถใช้งานได้ง่าย สะดวก และผู้ใช้สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายในกระบวนการทำงาน  รวมถึงการประมวลผลเร็วกว่าระบบเดิม

แนวโน้มของ ERP



แนวโน้มของ ERP ยุคหน้า
ศตวรรษที่ 21 ที่เพิ่งเริ่มต้นนี้ เป็นช่วงเวลาที่องค์กรบริษัททั้งหลายกำลังเผชิญกับยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง และการปฏิรูปครั้งใหญ่ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้อย่างทันท่วงที องค์กรทั้งหลายจึงได้เลิกล้มแนวทางเดิม คือ ทำทุกอย่างเอง ไปสู่การบริหารที่มีการสร้างเครือข่ายกับองค์กรอื่นเพื่อเปลี่ยนไปเป็นองค์กรยุคใหม่ และจากความก้าวหน้าของอินเทอร์เน็ต ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการติดต่อเชื่อมโยงกันอย่างง่ายดาย  
ซึ่งช่วยให้ E-Business แพร่หลายได้อย่างกว้างขวาง ส่งผลให้องค์กรบริษัทต่างๆสามารถดำเนินธุรกิจได้เร็วขึ้นด้วยต้นทุนที่ลดลง  นั่นคือ E-Business กลายเป็นตัวเร่ง (enabler) ของการเปลี่ยนแปลงไปสู่องค์กรยุคใหม่

1.  แนวโน้มของ E-Business
     1.1. แนวคิดของ E-Business
     ERP Research Promotion Forum ได้ให้คำจำกัดความของ E-Business โดยเปรียบเทียบให้ ERP เป็นกลไกสำหรับการปฏิรูปให้ห่วงโซ่ของมูลค่าภายในองค์กรมีประสิทธิภาพสูงสุด 
ส่วน E-Business นั้นเป็นกลยุทธ์สำหรับการปฏิรูปห่วงโซ่ของมูลค่าทั้งหมดข้ามองค์กรครอบคลุมตั้งแต่คู่ค้าไปจนถึงลูกค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
         คำจำกัดความของ ERP กับ E-Business
           - ERP เป็นวิธีบริหารจัดการห่วงโซ่ของลูกค้าภายในองค์กรให้มีประสิทธิผลสูงสุด
 ระบบ ERP เป็นวิธีการทาง IT ในการทำให้แนวคิดเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม
-E-Business คือ กลยุทธ์ทางธุรกิจ ซึ่งใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเพื่อเชื่อมโยงองค์กร 
 ผู้ป้อนวัตถุดิบ หุ้นส่วนทางธุรกิจ และลูกค้า อย่างเป็นระบบเปิด เพื่อยกประสิทธิผลของกา
 บริหารธุรกิจในทุกๆขั้นตอนของห่วงโซ่ของมูลค่าให้สูงยิ่งขึ้น

      จากรูปด้านล่างนี้ แสดงให้เห็นภาพของ E-Business  ตามคำจำกัดความนี้ สำหรับระบบสารสนเทศจำเป็นต้องใช้ระบบที่สามารถทำการประมวลผลแบบเรียลไทม์ โดยมีการเชื่อมต่อกับทุกองค์กรในห่วงโซ่ของมูลค่า





1.2  เกาะกระแส E-Business 
       สิ่งที่ลืมไม่ได้ของ E-Business   คือ ปัจจัยผลักดัน มิได้เกิดจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศเพียงอย่างเดียว จากช่วงปลายของทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านการบริหารองค์กร คือ เปลี่ยนจากระบบ ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ที่ใช้กำลังทุนขนาดใหญ่ในการสร้างทรัพยากรทางธุรกิจ ไปเป็น ระบบ ไม่ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ที่ใช้พลังแห่งเครื่องหมายยี่ห้อสินค้าและองค์ความรู้เป็นอาวุธ  โดยมีความสามารถที่จะมีความร่วมมือที่แน่นแฟ้นและฉับไวระหว่างองค์กร ด้วยการใช้ E-Business เป็นพลังขับเคลื่อนองค์กรให้ออกจากระบบทำทุกอย่างด้วยตัวเอง และเป็นตัวเร่งให้การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอุตสาหกรรมการผลิตเร็วยิ่งขึ้น
1.3 แนวโน้มของ E-Business 
ที่ผ่านมาแม้ว่าองค์กรที่ทำธุรกิจอินเทอร์เน็ตแบบ B2C(ธุรกรรมระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภค) อาจจะมีปัญหาบ้าง แต่ E-business ก็ยังขยายตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ต่อจากนี้ไปกระแสหลักของ E-Business จะไม่ใช่ B2C อีกต่อไป แต่จะเป็น B2B(ธุรกรรมระหว่างองค์กร) ระหว่างองค์กรธุรกิจที่มีอยู่เดิม ซึ่ง E-Business มีแนวโน้มเป็น 2 ลักษณะ คือ
 
                1. ตลาดอิเล็กทรอนิกส์แบบ Private B2B (แบบแนวตั้ง)  ที่เน้นตลาดอิเล็กทรอนิกส์ขององค์กรในกลุ่มเดียวกัน โดยมีองค์กรที่สำคัญมากสุดอยู่ตรงกลาง จะเชื่อมต่อเป็นระบบเดียวกันกับระบบ Supply Chain Management (SCM) ของบริษัทใหญ่ เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและใช้ในการบริหารสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณลักษณะพิเศษที่เกี่ยวข้องกับความลับของบริษัท
               2. ตลาดอิเล็กทรอนิกส์แบบ Public B2B (แบบแนวนอน) ที่เน้นตลาดอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกลุ่มต่างๆ ไม่มีการสร้างความแตกต่าง แต่เน้นการลดต้นทุน โดยพุ่งเป้าหมายไปที่สินค้าประเภททั่วไป






2.) กระแส ERP ใหม่ของประเทศอเมริกา (Extended ERP)
    2. 1.) กำเนิดของ  Extended ERP
              ในช่วงต้น ทศวรรษที่ 1990 บริษัทต่างๆในอเมริกา ได้มีการนำ ERP มาใช้กันอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นมาได้ถูกบดบังโดยกระแสใหม่ที่เรียกว่า E-Business
               ปัจจุบัน บริษัทส่วนใหญ่ของอเมริกา มีแนวโน้มที่จะลงทุนด้าน IT ไปที่ E-Business มากกว่าเรื่องของการนำ ERP มาใช้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า บริษัทในอเมริกาเลิกให้ความสำคัญกับ ERP เพราะระบบ E-Business ที่หลายบริษัทกำลังนำมาใช้นั้น ส่วนใหญ่มี backbone หรือโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างขึ้นมาจากระบบ ERP นั่นเอง
              ในการเปลี่ยนแปลงองค์กรให้เป็น E-Business นั้น มีความจำเป็นต้องพัฒนาเครือข่ายระหว่างองค์กรกับคู่ค้าและลูกค้า ควบคู่กับการปรับธุรกรรมทั้งหมดภายในองค์กรให้เป็นระบบดิจิตอลด้วย และเพื่อการนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่า จำเป็นต้องสร้างฐานข้อมูลสารสนเทศอันเป็นหนึ่งเดียวขององค์กรทั้งหมด โดยการบูรณาการรวมระบบบริหารสมัยใหม่ทั้งหลาย เช่น SCM (Supply Chain Management), CRM (Customer Relationship Management), E-Commerce โดยมี ERP เป็นศูนย์กลาง ดังนั้นปัจจุบันการมุ่งสู่ E-Business จึงเกิดแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Extended ERP ซึ่งก็คือ การบูรณาการรวมระบบงานต่างๆขององค์กรโดยมีระบบ ERP เป็นฐานเพื่อให้มีความสามารถต่างๆต่อยอดขึ้นไปจากระบบ ERP เดิม
2.2ความเป็นมาของกำเนิดของ Extended ERP

                1.   การมาถึงของยุค E-Busines
                 ·   การใช้เพื่อยกประสิทธิภาพ                  -----       การใช้เป็นกลยุทธ์
                      (E-Business ทำให้การแข่งขันสูงขึ้น
                 ·   การใช้แบบ Stand alone (ภายใน)       -----       การทำงานแบบร่วมมือกัน
                      (collaboration กับคู่ค้าและลูกค้า)
               2.  ผู้ผลิต ERP ต้องบุกเบิกสร้างตลาดใหม่
                 ·   การตกต่ำของยอดขาย ERP  (ตลาดองค์กรขนาดใหญ่อิ่มตัว ส่วนองค์กรขนาดเล็กขาดแคลนทุน)
                 ·   ใช้ ERP เป็น backbone ไปสู่ E-Business(SUITE)
                3.  ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ทำให้การรวม ERP กับระบบอื่นเกิดขึ้นได้
                 ·   ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ทำให้สามารถเชื่อมระบบ ERP กับระบบภายนอกได้(Internet,  การเข้าถึงแบบ Web based access
                 ·   ข้อมูลในระบบ ERP ระบบข้อมูลแบบปิด       -----     แบบเปิด
                       (ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเครือข่าย)

(1.)  การมาถึงของยุค E-Business
        ท่ามกลางสภาวะแข่งขันอันรุนแรงภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ องค์กรทั้งหลายได้ลงทุนในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศระดับแนวหน้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และการผลิตอย่างเต็มที่ โดยทบทวนและปรับปรุงให้กระบวนการทางธุรกิจนั้นไม่ซับซ้อนและเป็นระบบ โดยใช้ฐานข้อมูล ERP ทำให้สามารถรู้ถึงสถานภาพของธุรกิจในระดับภาพรวมแบบเรียลไทม์ ซึ่งมีประโยชน์มากในการสร้างกระบวนการตัดสินใจในเชิงบริหารที่รวดเร็ว และการวางแผนกลยุทธ์ในอนาคตขององค์กร
         หลังจากกำเนิดของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต การเกิดของร้านค้าออนไลน์  การใช้เทคโนโลยี Web สำหรับการบูรณาการระบบ back office ล้วนเป็นการเข้าสู่ยุค E-Business  ซึ่งประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเพื่อเสริมอำนาจในการแข่งขันและเพิ่มกำไร และเป็นการสร้างสนามแข่งขันใหม่ทางการตลาดขององค์กรธุรกิจ
        ด้วยเหตุนี้ยุคแห่งการใช้ ERP เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กรได้สิ้นสุดลงแล้ว และกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ ซึ่งเป็นยุคแห่งการพัฒนาเครือข่ายขนาดใหญ่ที่รวมทั้งผู้ป้อนวัตถุดิบและลูกค้าเข้าด้วยกันเป็นระบบ อีกทั้งการเกิด E-Business และความต้องการใช้ข้อมูลร่วมกับองค์กรภายนอก ทำให้เกิดงานใหม่และ เกิดความต้องการผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ที่จะสนับสนุนระบบใหม่ตามมา
(2.)ผู้ผลิต ERP ต้องบุกเบิกสร้างตลาดใหม่
     จากการมาถึงยุค E-Business ทำให้บทบาทหน้าที่ของระบบสารสนเทศที่อยู่บนฐานของ ERP ของบริษัทต่างๆ ในอเมริกาได้เปลี่ยนไป กว่าครึ่งของบริษัทใหญ่ได้นำ ERP มาใช้เรียบร้อยแล้วส่วนบริษัทขนาดกลางและเล็กมีงบประมาณจำกัด ไม่สามารถจัดหา ERP ไปใช้ได้ ทำให้ยอดขายของผู้ผลิต ERP ลดลง จึงเริ่มหาบทบาทใหม่ของ ERP สำหรับการบริหารจัดการองค์กร เพื่อพัฒนาบุกเบิกให้เกิดตลาดใหม่ขึ้น
(3.)ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ทำให้การรวม ERP กับระบบอื่นเกิดขึ้นได้
       เทคโนโลยีที่ทำให้การบูรณาการระหว่างระบบ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับระบบภายนอกเกิดขึ้นได้ ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วด้วยความก้าวหน้าของ อินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยีการเข้าถึงข้อมูลแบบ web based  ทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลกับภายนอกทำได้ง่ายขึ้น สามารถใช้ประโยชน์และเข้าถึงข้อมูล ERP ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีการปรับปรุงระบบ ERP ให้สอดคล้องกับระบบ E-Business ด้วย นอกจากนั้นในระยะหลังมีการใช้ระบบที่มีโครงสร้างแบบคอมโพเนนต์ การมีซอฟท์แวร์ทูลสนับสนุนการเขียนโปรแกรม ฯลฯ ทำให้องค์กรผู้ใช้งานสามารถปรับเปลี่ยนหรือขยายระบบ ERP ได้อย่างรวดเร็วขึ้น
2.3.)  จุดเด่นของ Extended ERP
         Extended ERP เป็นระบบสารสนเทศขององค์กรที่มีจุดเด่น 3 ประการ คือ


1.บูรณาการโดยมี ERP เป็นฐาน
     Extended ERP เป็นระบบบริหารที่ใช้รากฐานของ ERP โดยการบูรณาการกับซอฟท์แวร์ต่างๆ เช่น SCM, CRM, E-Commerce ฯลฯ และสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันสำหรับซอฟท์แวร์ทั้งหมดได้
2.เชื่อมโยงห่วงโซ่ของมูลค่าทั้งภายในและภายนอก
   Extended ERP เป็นระบบที่มีระบบ ERPซึ่งบูรณาการกระบวนการทางธุรกิจขององค์กรอยู่ที่แกนกลางและเชื่อมต่อระหว่างองค์กรกับผู้ป้อนวัตถุดิบด้วย SCM และบริหารลูกค้าองค์กรโดยระบบ CRM ส่งผลให้เกิดการเชื่อมโยงของห่วงโซ่มูลค่าทั้งภายในและภายนอก
3.IP based infrastructure และ Web Application
  ระบบต่างๆเหล่านี้ ถูกสร้างบนฐานโครงสร้างเครือข่ายแบบ IP (Internet Protocol)  จึงสามารถเข้าเรียกใช้ หรือป้อนข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายได้ อีกทั้งการใช้ Web Application ทำให้สามารถทำธุรกิจแบบ E-Business ได้

3.)   ผลทางการบริหารของการใช้ Extended ERP
           สามารถแบ่งได้ 2 ประเด็นใหญ่ คือ
1. การปฏิรูปโครงสร้างธุรกิจขององค์กร
2. การปฏิรูปกระบวนการทางธุรกิจ

การปฏิรูปโครงสร้างองค์กร
สร้างระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถรวมธุรกิจในเครือ ซึ่งได้มาจากการซื้อกิจการให้เป็นเอกภาพ
สามารถสร้างระบบงานที่จำเป็นสำหรับธุรกิจใหม่ได้อย่างรวดเร็วและมีความยืดหยุ่นในการขยายระบบ
สามารถรับมือกับการปฏิรูปโครงสร้างองค์กรได้อย่างรวดเร็ว
พัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ เพื่อให้สามารถป้อนข้อมูลความต้องการหรือตรวจสอบข้อมูลสินค้าคงคลังได้โดยตรง
การปฏิรูปกระบวนการทางธุรกิจ
ลดระยะเวลาของวงจรการผลิต
ขยายธุรกิจได้โดยเป็นผลจากการปรับปรุงความสัมพันธ์กับผู้ค้าปลีกและผู้รับจ้างผลิต
จากการให้มีการใช้ข้อมูลร่วมกันแก่ผู้จัดจำหน่ายสินค้า และผู้จำหน่ายวัตถุดิบ ทำให้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด
ช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น
ลดมูลค่าของสินค้าคงคลัง  เพิ่มความพอใจของลูกค้า
เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของผู้ขายส่ง ยกขีดจำกัดจำนวนลูกค้าที่สามารถดูแลได้ รักษาความถี่ในการเยี่ยมลูกค้า ลดความสูญเสียโอกาสจากการขาดสินค้าในคลังสินค้า
กระชับความสัมพันธ์โดยการให้ใช้ข้อมูลร่วมกันแก่ผู้ผลิต ผู้ขนส่ง ตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศ  ทำให้ประสิทธิภาพของธุรกิจดีขึ้น

 ผลของการใช้ Extended ERP



4. )   แนวโน้มของ ERP ยุคหน้า
      4.1)   กระบวนการพัฒนาระบบสารสนเทศ
             1.ขอบเขตบูรณาการ
                      ก่อนยุค ERP นั้น ระบบสารสนเทศขององค์กรถูกสร้างโดยแบ่งแยกกันในแต่ละงาน และเชื่อมโยงแต่ละงานด้วยวิธีแลกเปลี่ยนไฟล์ข้อมูลเป็นครั้งคราว ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดการล่าช้าในการประสานบูรณาการข้อมูลตามแนวนอนของแต่ละงาน ยังผลให้ การนำข้อมูลภายในองค์กรมาใช้ประโยชน์ในการบริหารนั้นล่าช้า  ซึ่งระบบ ERP ขยายขอบเขตการบูรณาการสู่ระดับทั้งองค์กร และสามารถกำจัดการล่าช้าดังกล่าวได้
     2 งานเป้าหมาย
          การทำให้เป็นระบบงานนั้น โดยปกติแล้วเป้าหมายจะเริ่มจาก back office ซึ่งเป็นงานประจำที่มีรูปแบบตายตัว สามารถเปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติได้ง่ายก่อน แล้วจึงขยายไปสู่ front office ซึ่งเป็นงานเฉพาะทางไม่มีรูปแบบตายตัว เช่น งานวางแผน งานออกแบบ
     3 วัตถุประสงค์หลัก
                วัตถุประสงค์หลักของช่วง non ERP คือ การประหยัดและลดต้นทุนของทุกงานในองค์กร ส่วนช่วง ERP นั้น วัตถุประสงค์หลักคือ ปฏิรูปกระบวนการทางธุรกิจ โยการบูรณาการกระบวนการทางธุรกิจทั้งหมดขององค์กรรวมกัน เป็นการรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับกลยุทธ์ขององค์กร
     4 โครงสร้างพื้นฐาน IT และเวลาที่ใช้ในการพัฒนาระบบ
                โครงสร้างพื้นฐาน IT นั้นเปลี่ยนจากระบบ Mainframe  มาเป็นระบบ client & server  และกลายมาเป็นระบบ IP based หรือ Web Application ในยุคของ Extended ERP   และเวลาในการพัฒนาระบบก็ลดลงด้วย จากนี้ไปจะต้องมีระบบที่มีความสามารถในการสร้างระบบการปฏิรูปธุรกิจ และการปฏิรูปกระบวนการทางธุรกิจในเวลาที่สั้น เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่เร็วยิ่งขึ้นทุกวัน
4.2.)   แนวโน้มของ ERP ยุคหน้า
       ระบบ ERP ยุคหน้าซึ่ง E-Business จะเติบโตเต็มที่ จะได้รับการพัฒนายิ่งขึ้นไปจาก Extended ERP ซึ่งจะมีบทบาทในการรองรับสิ่งต่อไปนี้
1.1งานหน้าร้าน (front office)
       สำหรับ ERP ยุคหน้า  เป้าหมายของสิ่งที่จะเชื่อมโยงระหว่างองค์กรธุรกิจนั้น ไม่ใช่เฉพาะการบริหารซัพพลายเชนของผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้วเท่านั้น แต่จะต้องครอบคลุมไปถึงการวางแผน การออกแบบ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อีกด้วย
1.2 ห่วงโซ่ของมูลค่าที่ไม่หยุดนิ่ง
      ห่วงโซ่มูลค่าในปัจจุบันมีลักษณะปิด โดยประกอบด้วยสมาชิกหลักในองค์กรหรือบริษัทเดียวกันในอนาคตธุรกิจจะเป็นแบบเปิดและมีเทคโนโลยีการบูรณาการระบบข้ามองค์กรที่เรียกว่า Dynamic B2B มากขึ้น
1.3 กลยุทธ์เชิงรุก
     ปัจจุบัน กุญแจของความสามารถในการแข่งขัน ได้เปลี่ยนจาก กลยุทธ์เพื่อตอบสนองรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจ  มาเป็น  กลยุทธ์การที่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงล่วงหน้า ดังนั้น ERP ยุคหน้าจะต้องมีความสามารถที่จะวางแผน ปฏิบัติ และประเมินผลการปฏิรูปโครงสร้างอย่างฉับพลันทันทีได้